เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๕ เม.ย. ๒๕๔๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ดูสิ เห็นไหม ถ้าเราดูหนังดูละครแล้ว เราดูจบเรื่องแล้วเราก็ไม่อยากดูซ้ำ เพราะเราดูแล้ว นี่ก็เหมือนกัน ชีวิตเราไง ชีวิตเราเกิดขึ้นมาก็เหมือนกับเล่นละครชาติหนึ่งๆ แต่เราเองเรายังไม่จบละครนั้นเราก็อยากดู อยากเล่น อยากสนุกไป

ชีวิตก็เหมือนกัน เกิดมาแล้วใช้ชีวิตหนึ่งเหมือนหนังเหมือนละครเลย โลกนี้คือละคร เกิดมาชีวิตหนึ่งก็เป็นละครอันหนึ่ง แต่ละครอันนี้มันเป็นความจริงกับชีวิตเรา เพราะมันจริงตามสมมุติ มันจริงตามสมมุติ แล้วเราอยู่กับสมมุติอย่างนี้ไป อยู่กับสมมุติไปแล้วเราก็มีความอยาก มีตัณหาความทะยานอยากไปกับชีวิตนี้หมดเลย ธรรมะไง ธรรมะเข้ามาให้เห็นสัจจะความจริง พอเห็นสัจจะความจริงแล้ว ชีวิตก็คืออย่างนี้ ชีวิตก็เป็นอย่างนี้ มันเกิดมาโดยธรรมะ โดยกรรม โดยการกระทำ แต่เราจะสร้างอย่างไรให้มันเป็นคุณงามความดี

มันอยู่ที่มุมมองนะ ดูสิดูคนที่เขาเสพ เขาอยู่ในกามคุณ เขาบอกเขามีความสุขมากเลย ไอ้พวกถือศีลจะมีความสุขได้อย่างไร พวกถือศีลมาแห้งๆ แล้งๆ จะมีความสุขได้อย่างไร? เขาก็มองมุมมองของเขา

แต่ไอ้คนถือศีลมองกลับไปนะ ไอ้พวกนั้นทำไมมันเหมือนหมาบ้า ทำไมมันเหมือนหมาขี้เรื้อน มันเกาไม่รู้จักจบ มันเกา มันคันนะ ก็รูปรสกลิ่นเสียงมันของใหม่ตรงไหน? มันของเดิมๆ ของเก่าๆ แล้วมันก็ไปเกาของมันอยู่อย่างนั้นแหละ เกาให้เลือดออกซิบๆ แล้วก็ว่ามีความสุขไง เวลาเลือดออก คันแล้วเลือดออก แหม มีความสุขมาก

ผู้มีศีลมองผู้ที่อยู่ในกามคุณเขามองอย่างนั้น มันอยู่ที่หัวใจ อยู่ที่มุมมอง อยู่ที่เราได้ศึกษาธรรมะขนาดไหน ถ้าเป็นธรรมะขึ้นมานะ ผู้ถือศีลเขาว่าแห้งแล้ง แต่ในธรรมผู้ถือศีลเป็นผู้ที่ว่าเตรียมตัว เตรียมตัวเฉยๆ นะ ผู้มีศีล ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามีสมาธิขึ้นมามันมีต้นทุน เราถือศีลเหมือนกับเวลาเราเกิดมาทุกคนอยากร่ำอยากรวย อยากเป็นเศรษฐี อยากมีฐานะต่างๆ แล้วมันเป็นไปตามความจริงไหม? แต่ถ้ามันเป็นตามความจริงอย่างนั้น เพราะเขาสร้างบุญกุศลของเขามา

เขาสร้างบุญกุศลของเขามานะ ดูสิชีวิตรุ่งอรุณ ชีวิตเด็กๆ รุ่งอรุณ ชีวิตเกิดขึ้นมารุ่งอรุณ แล้วชีวิตนี้เกิดขึ้นมาคาบช้อนเงินช้อนทองมา ชีวิตนี้เกิดขึ้นมาทุกข์จนเข็ญใจ นี่ชีวิต แต่เกิดมาพ่อแม่คนไหนก็รักลูกหมดเลย เพราะลูกเกิดขึ้นมาใครจะไม่รัก แต่กรรม เห็นไหม ในสมัยพุทธกาลเวลาเกิดขึ้นมาเอาลูกไปทิ้งกัน เพราะอะไร? เพราะว่าไปดูพราหมณ์ ไปดูหมอ หมอบอกนี่เกิดมาแล้วอชาตศัตรูให้เอาไปทิ้ง เพราะอะไร? เพราะจะฆ่าพ่อจะอะไร เขาดูโหรดูอะไรเขาจะไปทิ้งกัน

ชีวิตรุ่งอรุณ เห็นไหม ถ้าคนเขาเชื่อกันเขาก็เอาไปทิ้งกัน เขาก็พยายามเพื่อจะหลบหลีกกัน แต่มันก็หลบหลีกไม่ได้หรอก นี่ชีวิตรุ่งอรุณ ชีวิตตั้งแต่เด็กๆ ชีวิตตั้งแต่โตขึ้นมาเป็นวุฒิภาวะโตขึ้นมาเป็นวัยรุ่น เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา นี่สิ่งที่มีชีวิตขึ้นมา แล้วเราดำรงชีวิตอย่างไร? ถ้าดำรงชีวิตอย่างนี้มันก็สะสม สะสมอยู่ที่การกระทำ เราทำดีทำชั่วล่ะ? ทำดีทำชั่วทำมาจากอะไร? ใจคึกใจคะนอง ใจคึกคะนองหมายถึงว่ามันคิดดีคิดชั่ว ถ้าคึกคะนองคิดขึ้นมา ความคิดมาจากไหน? ความคิดมาจากแรงขับ แรงขับคือตัณหาความทะยานอยาก ถ้าแรงขับนั้นเป็นแรงขับที่ดีมันจะทำสิ่งที่ดีๆ

ดูสิดูสังคมวัยรุ่นบางคน เอ๊ะ! ทำไมวัยรุ่นพวกนั้นหรือว่าสังคมนั้นเขาคิดได้อย่างนี้? เพราะเราคิดไม่ถึงไง เราคิดไม่ได้ไง เราคิดสิ่งที่เป็นบาปอกุศลในหัวใจเราไม่ได้ไง ทำไมเขาคิดของเขาได้ ทำไมเขาทำของเขาได้ นี่มันแรงขับอันนั้น ถ้าแรงขับมันเป็นอกุศล แต่ถ้าดวงใจที่เป็นกุศลมันคิดอย่างนั้นไม่ได้ไง มันคิดแต่เรื่องสิ่งที่ดีๆ สิ่งที่ดีๆ นี่มันออกมาจากแรงขับ ออกมาจากความคิดอันนี้ ออกมาจากเริ่มต้นอันนี้ แล้วถ้าเราเข้าไปควบคุมมัน เราควบคุมมัน แล้วใครควบคุมมันได้ล่ะ?

ดูสิดูสิ่งที่ว่าเครื่องมือเทคโนโลยี เห็นไหม มันอยู่ที่แผงควบคุมอันนั้น แผงควบคุมเขาต้องเก็บไว้ในที่ปลอดภัยเพื่อจะไม่ให้คนเข้าไปยุ่งเข้าไปเกี่ยวกับการนั้น นี่ก็เหมือนกัน จิต จิตอยู่ที่ไหน? จิตอยู่ที่ไหน? เกิดมานี่ธรรมะสอนว่าคนเกิดมามีกายกับใจ กายกับใจ กายกับใจก็อยู่ในความรู้สึกของเขา นี่เวลาว่าเสียความรู้สึก กระทบกระเทือนความรู้สึก เจ็บปวดนักความรู้สึก แล้วความรู้สึกจะแก้ไขอย่างไรล่ะ? มันทำไม่ได้หรอก มันทำได้แค่หินทับหญ้า

ก่อนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเกิดขึ้นมา เจ้าลัทธิต่างๆ บอกว่าควบคุมได้ๆ เป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์นี่เป็นความคิดความนึกเฉยๆ มันไม่เป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงนะ เหตุใดเป็นพระอรหันต์ เหตุใดเป็นสิ่งที่เป็นการกระทำ เหตุใดเป็นสิ่งที่ชำระล้าง มันต้องพูดถึงเหตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนต้องทำอย่างนี้ เหตุเกิดจากตรงนี้ เหตุเกิดขึ้นมาจากทำความสงบของใจขึ้นมาก่อน สิ่งที่จิตสงบขึ้นมา ถ้าจิตไม่สงบขึ้นมาความคิดเป็นโลกทั้งหมดเลย เป็นโลกียปัญญา ปัญญาความคิดของโลก ความคิดจากกิเลส กิเลสพาใช้ไง

เราจะไปเรียนมาวิชาการสูงส่งขนาดไหน วิชาการจะเก่งกล้าขนาดไหน ไอน์สไตน์ยังบอกเลยว่า ถ้าเปลี่ยนนับถือได้จะนับถือศาสนาพุทธ เขาควบคุมแล้วเขาเป็นเจ้าทฤษฎีนะ ทฤษฎีสัมพัทธภาพเขาเป็นคนคิดขึ้นมาทั้งหมดเลย แต่เขาก็ไม่สามารถชำระตัวเขาเองได้หมด เขาไม่สามารถชำระกิเลสได้ เขาไม่สามารถเข้าถึงแผงควบคุมไฟฟ้าอันนั้นได้ เขาไม่สามารถเข้าไปควบคุมแผงความรู้สึกของเขาได้ เพราะอะไร? เพราะเขาทำสมาธิเข้าไปไม่ได้ ความคิดต่างๆ ถึงเป็นโลกียปัญญาไง ปัญญาที่ว่ามีความคิด มีความเก่ง มีความสามารถ นี่เป็นปัญญาของโลก เป็นปัญญาการดำรงชีวิต เป็นปัญญาการค้นคว้าในโลกนี้ เป็นสมบัติของโลกนะ

แต่ภาวนามยปัญญาจะเกิดขึ้นมา นี่มันต้องมีสัมมาสมาธิก่อน เพราะอะไร? เพราะสมาธิ ถ้ากิเลสไม่สงบตัวลง จิตเราเป็นสมาธิไม่ได้ ที่เราทำสมาธิกันไม่ได้อยู่นี่เพราะกิเลสเรามันแก่กล้า กิเลสเรามันเข้มแข็ง พอกิเลสเราเข้มแข็งมันก็คิดจินตนาการของมันไป มันก็คัดค้านของมันไป มันมีความลังเลสงสัยของมันไป มันต่อต้านของมันตลอดไป กิเลสเราต่างหากทำลายเรา แต่เราไม่รู้เลย

เวลาเราประพฤติปฏิบัติ ทำไมทำยากอย่างนั้น ทำไมปฏิบัติยากอย่างนี้? เพราะธรรมะเป็นของสูงมาก ดูสิดูอย่างยา นี่เวลาตำรา ยาอยู่ในร้าน อยู่ในโรงพยาบาล เราไม่ได้กินมันยาก็อยู่เฉยๆ เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วย เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยมันเกี่ยวกับยาไหมล่ะ? เจ็บไข้ได้ป่วยเพราะร่างกายเราเสื่อมโทรมไป นี่มันเจ็บไข้ได้ป่วยจากเรา กิเลสก็เหมือนกัน กิเลสมันอยู่ในหัวใจตลอดเวลา แต่ธรรมะมันเป็นยาจากข้างนอก ธรรมะเป็นยาของพระพุทธเจ้าไง อยู่ในพระไตรปิฎก อยู่ในครูบาอาจารย์ เหมือนกับยาอยู่โรงพยาบาล ยาอยู่โรงพยาบาล ยาอยู่ในร้านค้า ยากับเราเราต้องไปซื้อยา เราต้องไปหายา เราต้องเอายามากิน

ธรรมะก็เหมือนกัน เวลาทำความสงบของใจขึ้นมา กว่าจิตจะสงบขึ้นมามันมาจากไหน? แต่กิเลสไม่ต้องพูดถึงมันนะ กิเลสมันอยู่ในหัวใจ แรงขับมีอยู่ตลอดเวลา ถ้าแรงขับมีอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ เวลามันขับออกไปมันถึงเป็นความฟุ้งซ่าน มันถึงเป็นความสงบของใจไม่ได้ ถ้าทำสมาธิขึ้นมาได้ นี่มีสติขึ้นมา ควบคุมมันๆ นี่สติควบคุมจนกิเลสมันเบาตัวลง กิเลสมันยุบยอบลง กิเลสมันเหมือนหินทับหญ้าไว้ สมาธิถึงเกิดขึ้นได้ ถ้าสมาธิเกิดขึ้นได้ นี่ถ้าความคิดของโลกความคิดอยู่ใต้กิเลส กิเลสมีอำนาจในความคิดนั้น ความคิดโลกียปัญญามันมีตัวตน มันมีอีโก้ มันมีความยึดมั่นของมัน มันคิดอย่างไรมันไม่เป็นธรรมหรอก เป็นธรรมไปไม่ได้

แต่ถ้ามีสมาธิขึ้นมา นี่มันเป็นสากล จิตเป็นสมาธิมันเป็นสากล สิ่งที่เป็นสากลแล้ว เพราะกิเลสมันสงบตัวลงมันถึงเป็นอิสระชั่วคราวไง อิสระชั่วคราว หินทับหญ้าชั่วคราวใช่ไหม? ถ้าหินทับหญ้าชั่วคราว แล้วคนที่ฉลาด คนที่มีครูบาอาจารย์ฉลาดจะพาออกวิปัสสนา ถ้าวิปัสสนามันจะได้ประโยชน์ของมันขึ้นมา ถ้าได้ประโยชน์ขึ้นมามันเป็นความสะอาด มันไม่เป็นความคิดโดยกิเลส ไม่เป็นโลกียปัญญา ไม่ใช่ปัญญาแบบโลก

ปัญญาแบบของเรามันเป็นปัญญาที่อิสระขึ้นมา ปัญญาอย่างนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร? ถ้าไม่มีการจุดประกาย ไม่มีการฝึกฝน ปัญญาอย่างนี้เกิดไม่ได้ ปัญญาเกิดเองไม่ได้ ถ้าปัญญาเกิดเองฤๅษีชีไพรต้องเป็นพระอรหันต์หมดแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ต้องไปศึกษากับใคร เพราะเขามีสมาธิอยู่แล้ว เขาเหาะเหินเดินฟ้าได้ ปัญญาอันนี้ต้องเกิดขึ้นมาจากการฝึกฝน แล้วฝึกฝนใครเป็นคนพาฝึกฝน การฝึกฝนต้องมีอำนาจวาสนา เหมือนกับการฉุกคิดไง มีความสำนึกไง มีความจับผิดตัวเอง สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่ดีเนาะ สิ่งนี้คิดขึ้นมาคิดขึ้นมาจากไหนเนาะ

ความคิดเรา ดูสิเวลาว่าโลกนี้คือละคร ชีวิตนี้เกิดตายๆ มาอย่างนี้ แล้วทำไมเราไม่มีสติเลย ถึงมีสติมันก็เป็นสติเรื่องโลกๆ สติแบบว่าเศร้าใจ เศร้าสร้อยแล้วคอตกไง ชีวิตนี้แก้ไขไม่ได้ ชีวิตนี้เกิดมาก็ต้องตายไป เราก็ทำบุญกุศลไปสภาวะแบบนั้น แต่ถ้าผู้ที่มีธรรม เวลาครูบาอาจารย์อยู่ในป่าในเขา เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยมันจะตายไม่อยากตายเลย เพราะอะไร? เพราะมันยังไม่จบสิ้น รู้นะ รู้ว่าเราวิปัสสนามามันขั้นตอนขนาดไหน เรามียาขึ้นมาเรารักษาตัวเองได้ขนาดไหนแล้ว แต่โรคมันยังไม่หายไง มันเบาลง มันทุเลาลง มันดีขึ้นมา

สิ่งนี้ดีขึ้นมา แต่โรคยังไม่หายเพราะอะไร? เพราะตัวตนยังมีอยู่ ยังจับต้องได้ ความรู้สึกยังมีอยู่ ถ้าความรู้สึกยังมีอยู่ ยังมีกิเลสอยู่ ยังไม่อยากตาย อยากจะรักษาชีวิตนี้ไว้เพื่ออะไร? เพื่อประพฤติปฏิบัติให้ถึงที่สุดให้ได้ ถ้าถึงที่สุดได้ ชีวิตนี้คืออะไร? นี่จะเห็นสภาวะแบบนี้ เห็นจากผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไง ถ้าปฏิบัติมันจะเข้าไปชำระล้างจากปัญญาอย่างนี้ ปัญญามันเกิดอย่างนี้ มันจับถึงว่าชีวิตนี้คืออะไร? ความคิดมาจากไหน? มันจะเห็นสภาวะอย่างนั้น แล้วมันจะทำความสะอาดขึ้นมา

ปัญญาอย่างนี้ปัญญาชนะตนเองต่างหาก ปัญญาควบคุมเข้าไปถึงแผงควบคุมวงจรของชีวิตไง อวิชชาปัจจยา สังขารา สังขาราคือจิต อวิชชาปัจจยา สังขารา สังขาราปัจจยา วิญญาณัง นี่ปัจจยาการไม่ใช่ความคิดแบบพวกเรานี่นะ ความคิดของเราเป็นความคิดแบบไฟฟ้าขั้วบวกขั้วลบแล้วนะ เพราะอะไร? เพราะจิตกับขันธ์มันแสดงตัวออกมาแล้วมันถึงเป็นพลังงานขึ้นมา มันถึงเป็นพลังงานขึ้นมา มันถึงเป็นภาพขึ้นมา

ความคิดเป็นสิ่งที่มีชีวิต สัตว์ที่มีชีวิต พืชที่มีชีวิต ความคิดก็มีชีวิตอันหนึ่ง ชีวิตหนึ่ง เกิดภพหนึ่ง ความคิดหนึ่งก็เป็นภพหนึ่ง เป็นความรู้สึกอันหนึ่ง ความรู้สึกนี้ก็เป็นความรู้สึก มันก็ซับซ้อนมาที่ใจ แต่เวลาทำลายสิ่งนี้เข้าไป แผงวงจรไฟฟ้าโดนทำลายหมดเลย ขั้วบวกขั้วลบโดนทำลายหมดเลย มันเป็นพลังงานของมันเฉยๆ พลังงานไฟฟ้าในอากาศ มันมีพลังงานของมันอยู่ตลอดเวลา

นี่ก็เหมือนกัน ตัวจิต แผงควบคุมอยู่ตรงนั้นไง แผงควบคุมมันอยู่ที่อวิชชาปัจจยา สังขารา สังขาราปัจจยา วิญญาณัง จากอวิชชาเป็นวิชชาขึ้นมา วิชชาเกิดขึ้นมาอย่างไร? วิชชาเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? วิชชาอย่างหยาบอย่างละเอียดเข้าไป จากพลังงานไฟฟ้าที่มันเป็นขั้ว มันทำปฏิกิริยากันมันถึงออกเป็นความคิดที่หยาบมาก แต่พลังงานบริสุทธิ์ นี่จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้ไง จิตเดิมแท้ผ่องใส มันผ่องใส มันมีพลังงานของมัน นี่มันจะย้อนกลับเข้าไปอย่างนั้น จะไปทำลายจิตดวงนี้ไง

ถ้าทำลายจิตดวงนี้ นี่โลกนี้คือละคร แล้วสิ่งที่เก็บข้อมูลจากที่มันต้องไปอยู่ในส่วนหนึ่งของละคร อยู่ส่วนหนึ่งของโลกที่เวียนตายเวียนเกิดไปในวัฏฏะ มันได้ไปทำลายเชื้ออันนี้หมดแล้ว ถ้าเชื้ออันนี้หมดแล้วมันจะไปกับละครได้ไหม? ถึงว่าดูละครจบไง ดูหนังจบเรื่องไง หนังนี้จบแล้ว ความเป็นไปการเกิดการตายจบสิ้นแล้ว เราจะไม่เป็นหนังไม่เป็นส่วนหนึ่งของบทละครนี้ เราจะไม่เป็นส่วนหนึ่งของวัฏฏะนี้ เราจะไม่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตนี้ เราจะไม่เป็นส่วนหนึ่งไป มันจบสิ้นกระบวนการของมันทั้งหมด มันทำลายของมันออกไปทั้งหมด เห็นไหม ชีวิตนี้จบสิ้นในศาสนาของเรา

นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมอย่างนี้ขึ้นมาแล้วสั่งสอน สั่งสอนให้สาวก สาวกะเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติ ปัญญาในศาสนาพุทธเป็นปัญญาอย่างนี้นะ ไม่เป็นปัญญาอ้อนวอนหรอก ในลัทธิต่างๆ เขาอ้อนวอนเอา ขอให้พระเจ้า ขอให้ผู้ที่มีอำนาจเมตตาเรา ขอให้ผู้มีอำนาจปกป้องดูแลเรา

มันจะปกป้องดูแลไปไหน? เวลาเรากินสารพิษเข้าไปในร่างกาย ใครเป็นคนขับออกมา ก็ร่างกายเราขับออกมา จิตเป็นอวิชชา มันเป็นกิเลสอยู่ในหัวใจ จะให้ใครขับออกมา ถ้าเราไม่มีมรรคญาณ ไม่มีปัญญาไปขับมันออกมา สารพิษในร่างกายเราใครขับออกมา กิเลสในหัวใจเราใครขับออกมา จากมรรคญาณ นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่าเป็นผู้ชี้ทางไง แล้วเราเป็นผู้ปฏิบัติ

สารพิษอยู่ในร่างกายของเรา แล้วไปอ้อนวอนให้คนอื่นเอาสารพิษนั้นออกได้อย่างไร? สารพิษอยู่ในร่างกายของเรา เราก็ต้องกินยา เราต้องมีธรรมะ มีดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ นี่ชอบ เห็นไหม สารพิษอยู่ที่ไหน? จะเอาออกมาได้อย่างไร? นี่งานชอบ ชอบตรงไหน? เจ็บไข้ได้ป่วยรักษาที่ไหน? ก็รักษาไปตามสภาวะแบบนั้น เพราะโรคภัยไข้เจ็บมันมีหลายแขนงเหลือเกิน

นี่ก็เหมือนกัน โสดาบัน สกิทา อนาคา มันมีหลายแขนงเหลือเกิน นี่มันจะชำระของเราเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ทาง แล้วเราเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไง เราถึงจะพยายามฟังธรรม เราถึงต้องมีความเคารพสถานที่ เคารพในสิ่งสูงสิ่งต่ำ เขาบอกว่าโลกนี้เสมอภาคๆ มันเคารพสิ ถ้าเสมอภาคเท้ากับมือต้องเหมือนกันสิ เท้ากับมือทำไมทำหน้าที่ต่างกัน? เท้าหน้าที่เดิน มือหน้าที่การทำงาน แล้วเสมอภาคกันก็เอามือต่างเท้า เท้าต่างมือสิ นี่ความคิดของโลกมันคิดไปโดยความเป็นไปไม่ได้

แต่ธรรมะเป็นไปได้ ถ้าจิตสงบแล้วมันเป็นไปได้หมดแหละ เสมอภาค เสมอภาคจากหัวใจไง แต่ความสูงความต่ำต่างกัน ในการกระทำของมันต่างกัน ในมรรคญาณต่างกัน ต่างกันอย่างนี้ต่างกันขึ้นมา ถึงที่สุดแล้วสิ่งนั้นเป็นสมมุติชั่วคราว แล้วเราทำถึงที่สุดเราถึงได้ประโยชน์ของเรานะ นี่ศาสนาประเสริฐอย่างนี้ เราถึงต้องเคารพ เราถึงต้องบูชา อย่าทำลาย อย่าทำลายกัน มันจะเสื่อมไปนะ โดยธรรมชาติของสิ่งที่สูงสุด เห็นไหม เรายิงจรวดขึ้นไปบนท้องฟ้ามันก็ตกมาในโลก

นี่ก็เหมือนกัน ศาสนาขับเคลื่อนถึงที่สุดมันก็เสื่อมไปตามธรรมชาติของมันอยู่แล้ว มันจะเสื่อมโดยธรรมชาติของมันอยู่แล้ว แต่อย่าให้มันเสื่อมจากน้ำมือของเรา อย่าให้เสื่อมจากการกระทำของเรา เราทะนุถนอมมัน แล้วอย่าทำให้สิ่งนี้มันหลุดจากมือเราไป เอวัง